เทศน์เช้า วันที่ ๑ มกราคม ๒๕๔๐
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต
ณ วัดสันติธรรมาราม ต.คลองตาคต อ.โพธาราม จ.ราชบุรี
ไม่ประมาทไง ปีเก่า ไอ้นี่ปีใหม่ ...วันนี้ปีใหม่ เมื่อวานปีเก่า ถ้าปีเก่าเราไปติดมัน ถ้าเรา ยึดมั่นถือมั่นเกินไปก็ทำให้เราใช้ชีวิต หรือว่าใช้ชีวิต อย่างวันนี้ถ้าเมื่อคืนฉลองปีใหม่กันมากกว่านี้ก็โซเลย อันนั้นมันของปลอม ปีปลอมไง อันนี้ปีจริง ปีจริง ปีข้างหน้ามาจริง
อนิจจังไง สิ่งที่ล่วงไปแล้ว เห็นไหมเป็นของปลอม ของปลอมเราสมมุติขึ้นมา สมมุติขึ้นมาให้เป็นปีใหม่ เป็นวันที่ ๓๑ ธันวาคม เป็นวันสิ้นปี เห็นไหม มันจริงตามสมมุติไง จะว่าปลอมก็ได้ ว่าปีเก่าเป็นปีปลอมและปีข้างหน้านี้ ปีใหม่นี้เป็นปีจริง เมื่อเสร็จแล้วมันก็ปลอมเหมือนกัน
แต่ปีจริงหมายถึงว่าจริง ๕๐ เปอร์เซ็นต์ในวันเดือนปีนี้ ในวันเดือนปีที่มันมาใช่ไหม แล้วมีเราที่เข้าไปสัมผัสแล้วเข้าไปสร้างโอกาสไง นี่ถือว่าของจริง
ของจริงหมายถึงว่าเรามีโอกาสแก้ไขไง ของปลอม ของที่ล่วงไปแล้วไง ล่วงไปแล้วถือว่าของปลอม แต่มันจริงนะ จริงตามสมมุติไง เราสมมุติกันว่าเป็นปีใหม่ปีเก่า ถ้าบอกว่าลบ ถ้าไม่มีเลยกฎหมายมันจะปกครองบ้านเมืองไม่ได้ กฎหมายทุกอย่างเป็นสมมุติทั้งหมด แต่กติกาของสังคมเราก็ต้องยอมรับ อันนี้คือว่ายอมรับในความเป็นสมมุติ ยอมรับในความเป็นอยู่ไง
แต่ไม่ยอมรับในความเป็นสัจจะ สัจจะ อริยสัจจะ ความเป็นจริงภายในผ่านตรงนี้มา ไอ้นี่เป็นของสมมุติ แต่เราต้องอาศัยสมมุติไง แล้วเราเกิดมาร่างกายเราสกปรก เราต้องอาบน้ำเห็นไหม น้ำชำระล้างร่างกาย น้ำชำระร่างกาย
ความเป็นอยู่มันเอื้อกับประโยชน์ของความเป็นสุขของเราใช่ไหม ในบ้านเรือนเรามันจะมีเอื้อความเป็นสุข ก็เหมือนพวกน้ำ ปลาปฏิเสธน้ำไม่ได้ มนุษย์ปฏิเสธสังคมไม่ได้ ปฏิเสธอันนี้ไม่ได้ ปฏิเสธไม่ได้ แต่ก็ไม่ยึดมันจนเป็นทุกข์ไง ถือว่าเป็นของปลอม ของที่ล่วงไปแล้วนี้เป็นของปลอม ไม่เกี่ยว เป็นของปลอม ผ่านไปแล้วไม่เอา เอาแต่ของใหม่ที่หมายความว่าเป็นของจริง
ของจริงก็สมมุติ ทำไมเราถึงบอกว่าเป็นของจริง ของจริงหมายถึงว่าเรามีโอกาสจะไปแก้ไขมัน มีโอกาสที่ว่านี่เห็นไหม จริงหรือไม่จริง นี่เห็นไหม วันนี้วันปีใหม่ ปีนี้จะทำอะไร จริงแล้ว เห็นไหม ปีนี้เราจะตั้งต้นทำอย่างไรบ้าง จะทำให้เป็นคนดีนี่เห็นไหม จริงไหม โอกาสเรามีก็เป็นของจริง หมายถึงว่าเราสร้างโอกาสสามารถจะพลิกแพลงได้
แต่ของที่ล่วงไปแล้วเราถือว่าเป็นของปลอมไปเลย ของปลอม ของที่หมดโอกาสแล้ว นี่มันเป็นอย่างนั้นไป จริงสิ ความจริงนะ สัจจะนี้เป็นความจริงมาก ขนาดไหนก็แล้วแต่ เห็นไหมเวลาที่พระอาทิตย์ขึ้นความหนาวจะจางไป เพราะเป็นความจริงว่าพระอาทิตย์มันกำลังมา ส่องมา ส่องมาความหนาวจะคลายไป
สัจจะของพระพุทธเจ้ามีจริงหมดเลย เราเข้าถึงหรือไม่ถึง เราเข้าถึงเท่าไหร่นะ ไอ้กิเลสในใจเหมือนความหนาวมันจะจางไป จางไป ถ้าเราแก้ไขของเราได้ เข้าไปเลยๆ แต่เราเข้าไม่ถึงเอง พอเข้าไม่ถึงเองเราก็สงสัย พอสงสัยเราก็บอกว่าไม่มี มีหรือ จริงหรือๆ ทุกข์ขนาดนี้ ทำความดีขนาดนี้ทำไมไม่เห็นได้ดี อย่างที่ว่าพระพุทธเจ้าสอนไว้ ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว
ได้ดี ! ได้ดีเด็ดขาดเลย ได้ดีแน่นอนเลย แต่ความดีนี้เราต่างหากเป็นคนที่ไม่เข้าใจว่าความดีคืออะไร ทุกคนหมายเลยแหละ ความดีของบางคนนะมีรถเบนซ์ ๕ คันเป็นความดี บางคนมีเมีย มีวัตถุขึ้นมาเป็นความดี พระพุทธเจ้าไม่ได้สอนอย่างนั้นเลย คนที่เขามีนะบริษัทรถเบนซ์มันขายเบนซ์ ไปถามมันมีความสุขไหม เบนซ์ในบ้านมันเป็นร้อยๆ คันใช่ไหม ในโกดังมันมีเท่าไหร่
แต่ถ้าเราไม่มีเราก็อยากว่ามีแล้วมีความสุข เรามีแต่ตัณหาความทะยานอยาก อยากหาทุกข์มาใส่ตัวโดยไม่รู้ตัวเลย ความดีจริงๆ มันอยู่ที่หัวใจต่างหาก ความสุขในใจ ความสุข ความพอใจ ความพอใจนี่เห็นไหม อย่างพวกโยมนี่ต้องอะไรนะ ปีใหม่ต้องฉลองกัน ต้องเที่ยวกันมาถึงจะมีความสุข ฮื่อ ได้ฉลองปีใหม่มา
เราไม่ได้ฉลองปีใหม่เลย ๑๐ ปีแล้วอยู่ที่นี่ บวชมาเราไม่เคยฉลองปีใหม่กับใครเลย เราไม่ทุกข์ตายหรือ เราทุกข์ไหม ? เห็นไหมความสุขหรือความทุกข์มันไม่ได้อยู่ที่.. ต่างคนต่างหมาย ต่างคนต่างจินตนาการ อันนั้นพอใจ อันนั้นจะเป็นสุข พอใจของเราที่คิดเป็นความสุข
ถ้าสิ่งนั้นเป็นความสุขหมด พระนี้เป็นทุกข์ ทุกข์น่าดูเลยพระนี้ พระนี้ไม่เคยไปฉลองกับใครเลย ทำไมมีความสุข ทำไมพระมีความสุขของพระล่ะ เพราะพระไม่ได้ตั้งตรงนั้นเป็นความสุข
พระตั้งที่ว่าสมาธิธรรมใช่ไหม ความพ้นจากกิเลส ความสุขแท้ พระตั้งสัจจะจริงภายใน นี่เห็นไหมเป้าหมายมันคนละอัน มันก็คนละเส้นทางแล้ว พอเส้นทางนี้ความหมายต่างกันแล้ว ถึงได้บอกว่าความสุขแท้อยู่ที่ไหนไง
ความสุขที่เราจินตนาการเป็นความสุข กับความสุขที่พระพุทธเจ้าสอนใช่ไหม สุขเจือด้วยอามิส อย่างเช่น เรามีความสุขเราจะหาอะไรก็แล้วแต่ พอเราสมปรารถนาเราก็มีความสุข มีความพอใจไง ความพอใจมันก็ พอเรามีความพอใจมันก็คือว่าพอใจคือความสุข แต่จริงๆ ไม่ใช่ จริงๆ คือว่าความทุกข์ ความทะยานอยากดับไป จิตใจมันอิ่มไง
เหมือนสมาธิ สมาธินี่เวลาเราฟุ้งซ่านร้อนมากเลย พอมันปล่อยหมดนี่นะ มันปล่อยหมดมันเป็นว่างหมด มันก็มีความสุขขึ้นมาเห็นไหม นี่ก็เหมือนกัน นี่สุข นี่ก็คือว่าสุขไม่เจือด้วยอามิส สมาธิธรรมนี่นะ ธรรมแท้ๆ ในหัวใจไม่เจือด้วยอามิส เกิดขึ้นมาจากความเป็นของหัวใจเอง ไม่ต้องอะไรมาแต่งเติมให้มันเลย
แต่ถ้าความสุขเจือด้วยอามิสไง อย่างเช่นว่า ของที่เกิดจากอามิสไง ของที่เป็นวัตถุหามาแล้วถึงจะมีความสุขเห็นไหม มันไม่ใช่สมาธิ เพียงแต่ความอยากได้สงบตัว เห็นไหม ฟังสิ สมาธิคือใจมันสงบ สงบโดยตัวมันเองใช่ไหม แต่ไอ้นี่ต้องไปหาเครื่องมือมาแบบว่าให้มันพอใจเหมือนหลอกเด็กไง
เหมือนเราหลอกเด็ก เด็กอยากได้ทอฟฟี่ เอาทอฟฟี่มาให้ มันพอใจมันเงียบ ไม่ร้อง มันก็มีความสงบ จิตใจก็เหมือนกันนะ ฟุ้งซ่านมันแสวงหามา พอหามามันพอใจของเขา มันก็พอใจ พอใจนั้นมันไม่ใช่สมาธิ แต่มันแค่สงบตัว แบบเด็กมันไม่เก๊ เด็กมันอยู่เฉยๆ พอเสร็จแล้ว เด็ก คำว่าเด็ก ฟังสิ เด็กมันก็ประสาเด็ก ได้ของเล่นเดี๋ยวเดียวมันก็เปลี่ยน
แต่หัวใจมันยิ่งกว่านั้น ได้รุ่นนี้จะไปรุ่นนั้น ได้อย่างนั้นจะเป็นอย่างนี้ ได้อย่างนี้จะเป็นอย่างนั้น จินตนาการไปเรื่อย แล้วมันก็ใช้ให้เราซกๆๆๆ หามา เป็นความสุขของมันเห็นไหม นี่เราถึงบอก ความสุขของใครไง เราถึงว่าตีความหมายความสุขว่าผิดไง
ความสุขของเราพอใจแล้วอยู่ในบ้านปิดประตู เรามีความสุขในครอบครัวเรา เห็นไหมพ่อ แม่ พี่ น้อง อยู่ในบ้านมีความสุขมาก เห็นไหมนี่เรื่องความสุขภายใน นี่ศาสนธรรมเห็นไหม ความสุขของเราไง นี่ของจริง นี่ขนาดเรื่องนั้นนะ
แล้วนี่ไม่มีพ่อไม่มีแม่นะ มีลูกพระพุทธเจ้า อยู่กับพรหมจรรย์เป็นหนึ่งเดียวเลย ไม่ต้องอะไรเลย แล้วมันจะไปพึ่งกับอะไร อ้าว.. พึ่งกับภายในไง นี่ถึงบอกว่านี่สัจจะแท้ไง ถึงว่าโอกาสมีไง ถึงว่าปีใหม่นี้เป็นปีจริงว่าอย่างนั้นเลยนะ เราตั้งกัน ตั้งไว้ว่าจะทำอะไร ตั้งใจไว้เลย แล้วโอกาส ปีใหม่ๆ
ความจริงคือโลกของความจริง เราไม่ใช่ว่าเป็นโลกของความปลอม ความปลอมผ่านไปแล้ว ผ่านไปปีแล้วปีเล่า ผ่านไปๆๆ อยู่กับความจริงของเรานะ เอาล่ะ เอาเท่านี้แหละ